ในการซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศ หรือการเทรด Forex การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิค เป็นสิ่งที่ในการช่วยประเมินโอกาสในการลงทุน และเทรดเดอร์หลายคนใช้เทคนิคทั้ง 2 เทคนิคนี้ผสมผสานเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้มุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้น และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า มาดูว่าการวิเคราะห์แต่ละแบบ แตกต่างกันอย่างไร
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานคืออะไร?
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นวิธีการประเมินตลาดที่ใช้แหล่งข้อมูลจากหลายแหล่งเพื่อค้นหามูลค่าของ สินทรัพย์ โดย
- นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชื่อว่า ข้อมูลทั้งหมดไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงราคาของสินทรัพย์ จึงถือว่าราคาและมูลค่ามีความแตกต่างกัน
- การวิเคราะห์ประเภทนี้ จะพิจารณาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์ ในการคำนวณมูลค่าของสินทรัพย์
- นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ได้กำหนดมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์แล้ว สามารถเปรียบเทียบกับราคาของสินทรัพย์ปัจจุบัน เพื่อดูว่าสินทรัพย์นั้นมีมูลค่าสูงหรือต่ำเกินไปหรือไม่
- หากราคาของสินทรัพย์มีราคาต่ำเกินไป เทรดเดอร์อาจจะตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ เนื่องจากเชื่อว่าราคาควรจะสูงขึ้น
- ในทางกลับกัน หากมีมูลค่าสูงเกินไป พวกเขาควรขายสินทรัพย์ เนื่องจากราคาอาจลดลงได้
- สมมติฐานที่สำคัญที่นักวิเคราะห์พื้นฐานกำลังทำที่นี่คือ ราคาจะเปลี่ยนกลับเป็นมูลค่าในที่สุด
- นี่คือวิธีที่เทรดเดอร์มองเห็นและเทรดโอกาสในการเทรดที่อาจทำกำไรได้
เครื่องมือหลักในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการวิเคราะห์เพื่อค้นหามูลค่าที่แท้จริงของหลักทรัพย์ เช่น หุ้นหรือสกุลเงิน โดยจะใช้ปัจจัยต่อไปนี้ในการวิเคราะห์
งบการเงิน
ซึ่งรวมถึงงบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งจะทำให้มองเห็นภาพรวมทางการเงินและช่วยประเมินความสามารถในการทำกำไร สภาพคล่อง และความสามารถของบริษัท นักวิเคราะห์ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อกำหนดอัตราส่วนทางการเงิน และการแสดงข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของบริษัท
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การเติบโตของค่า GDP ภายในประเทศ อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงาน ตัวชี้วัดเหล่านี้จะทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่บริษัทกำลังดำเนินธุรกิจ
อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าการลงทุน โดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้สกุลแข็งค่าขึ้น ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะส่งผลให้ราคาสกุลเงินอ่อนลง
ข่าวสารและกิจกรรม
เช่น รายงานผลประกอบการ สัญญาใหม่ และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ ส่งผลกระทบต่อราคาสกุลเงิน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไร?
การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะประเมินสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น สกุลเงิน หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยการทบทวนข้อมูลราคาและปริมาณในอดีต ต่างจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานซึ่งมุ่งเน้นไปที่มูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิค จะตรวจสอบปริมาณและราคาของสกุลเงินในช่วงเวลาหนึ่ง
เครื่องมือหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ตัวชี้วัดที่ใช้บ่อยที่สุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ตัวชี้วัดการวิเคราะห์ทางเทคนิค
เป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ตามราคา ปริมาณ หรือความสนใจแบบเปิดเพื่อคาดการณ์ราคาในอนาคต
การวิเคราะห์รูปแบบแผนภูมิ
เป็นการศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด
การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน
แผนภูมิทางการเงินประเภทนี้ ใช้สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงิน สามารถบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน แนวโน้มของตลาด หรือการกลับตัวของแนวโน้มเหล่านั้น
แนวรับและแนวต้าน
คือเส้นแนวนอนที่วาดบนกราฟราคา เพื่อระบุว่าราคาสกุลเงินไม่น่าจะคลาดเคลื่อนไปมากกว่านั้น
การวิเคราะห์แนวโน้ม
คือการตีความการเคลื่อนไหวในอดีตและปัจจุบันในตลาด เพื่อคาดการณ์ราคาสกุลเงินในอนาคต
ข้อดีข้อเสียของการวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานและทางเทคนิค
เพื่อให้เห็นความแตกต่างของการวิเคราะห์ทั้ง 2 ประเภท เรามาดูข้อดีข้อเสียกันก่อนดีกว่า
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
ข้อดี
- การมุ่งเน้นระยะยาว มีประโยชน์สำหรับกลยุทธ์การลงทุนระยะยาว
- การลดความเสี่ยง นักลงทุนควรประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้ดีขึ้น
- สามารถใช้ได้กับสินทรัพย์หลายประเภท รวมถึงหุ้น และพันธบัตร
ข้อเสีย
- อาจไร้ประสิทธิภาพในระยะสั้น ไม่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจซื้อขายระยะสั้น
- ใช้เวลานาน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานต้องเจาะลึกเข้าไปในงบการเงิน แนวโน้มของตลาด และตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
- ความไร้เหตุผลของตลาด ตลาดไม่ได้สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของราคาสกุลเงินเสมอไป
- ข้อมูลที่มากเกินไป เช่น ข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และข้อมูลอื่นๆ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ข้อดี
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้ตัดสินใจได้แบบเรียลไทม์ โดยพิจารณาจากข้อมูลราคาและปริมาณ
- ความเรียบง่ายของการวิเคราะห์ข้อมูล เพราะส่วนใหญ่มักใช้การแสดงภาพกราฟิก
- การจัดการความเสี่ยง ด้วยการใช้เครื่องมือช่วย เช่น คำสั่งหยุดการขาดทุน สามารถนำไปใช้ได้หลังจากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อหาระดับแนวรับหรือแนวต้าน
- ข้อมูลเชิงลึกทางจิตวิทยา แผนภูมิสามารถสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของตลาด โดยให้มุมมองที่รวดเร็วเกี่ยวกับจิตวิทยาของเทรดเดอร์ในตลาด
- ปรับเปลี่ยน ได้สามารถใช้กับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น และพันธบัตร
ข้อเสีย
- สัญญาณรบกวน ความผันผวนในระยะสั้นสามารถสร้างสัญญาณที่ผิดพลาดได้
- ข้อมูลมากเกินไป ตัวบ่งชี้และรูปแบบที่มีอยู่มากมายสามารถนำไปสู่การวิเคราะห์ที่ผิดพลาดได้
การวิเคราะห์พื้นฐานของฟอร์เร็กซ์
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานในฟอเร็กซ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของสกุลเงินของประเทศ
- หากมีอุปสงค์เพิ่มขึ้น หรืออุปทานลดลง เทรดเดอร์จะถือว่าราคาของสกุลเงินหนึ่งจะเพิ่มขึ้น
- หากมีอุปสงค์ลดลง หรืออุปทานเพิ่มขึ้น ราคาของสกุลเงินก็ควรจะลดลง
(รูปภาพ : อุปสงค์ อุปทาน ที่ส่งผลต่อ ราคาสกุลเงิน ในตลาดฟอร์เร็กซ์)
- การวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างเป็นระบบซึ่งส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของสกุลเงิน คือการปฏิบัติตามปฏิทินเศรษฐกิจ
(รูปภาพ : ปฏิทินเศรษฐกิจ เทรดเดอร์จะจับตาดู ถ้าหากว่ามีสิ่งใดอยู่นอกเหนือสิ่งที่คาดไว้ นั่นอาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปสงค์หรืออุปทานของสกุลเงิน)
- ปฏิทินนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจผลกระทบของจุดอ่อน/ความแข็งแกร่งของจุดยืนทางเศรษฐกิจของประเทศแต่ละรประเทศต่อสกุลเงินของตน
- โดยปกติ เมื่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศเป็นบวก สกุลเงินของประเทศจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับคู่สกุลเงิน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติกำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในประเทศนี้มากขึ้น
วิธีใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในฟอร์เร็กซ์
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค เทรดเดอร์จะวิเคราะห์ราคาในอดีตและสถิติตลาดของสินทรัพย์ เพื่อพิจารณาว่าสินทรัพย์นี้จะดำเนินต่อไปในทิศทางใด
- แผนภูมิเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงภาพราคาในอดีตและจดจำรูปแบบ ซึ่งสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต หากสถานการณ์เกิดขึ้นซ้ำรอย
- นอกจากการใช้แผนภูมิเพื่อศึกษาราคาในตลาดแล้ว เทรดเดอร์ทางเทคนิคยังใช้ตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เช่น Moving Averages Relative Strength Index (RSI) และ Bollinger Bands เพื่อพัฒนากลยุทธ์การซื้อขายทางเทคนิคที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิคอยู่บนสมมติฐานสำคัญ 3 ประการ
ราคาที่ลดลง จะลดข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคถือว่า ข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดรวมอยู่ในราคาของสินทรัพย์แล้ว
- การศึกษาพฤติกรรมด้านราคาของสินทรัพย์ จะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เข้าร่วมตลาด และไม่จำเป็นต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงส่วนบุคคล
ราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคขึ้นอยู่กับแนวคิดหลัก – แนวโน้มของตลาด
- เมื่อราคามีแนวโน้มไปในทิศทางใด สมมติฐานคือการเคลื่อนไหวของราคาครั้งต่อไปมีแนวโน้มที่จะไปตามทิศทางนั้น มากกว่าที่จะไม่เป็นไปตามทิศทางของแนวโน้มที่คาดการณ์เอาไว้
- เมื่อทำการซื้อขาย นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจะพยายามระบุแนวโน้ม แนวโน้มตัวใดตัวหนึ่งในสามทิศทาง คือ
- แนวโน้มขาขึ้น
- แนวโน้มขาลง
- แนวด้านข้าง
แนวโน้มคืออะไร?
- การระบุแนวโน้มคือทุกอย่างในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เนื่องจากทุกเทคนิค การใช้เครื่องมือ รูปแบบกราฟ หรือตัวบ่งชี้ สามารถที่จะใช้ในการกำหนดแนวโน้ม และตำแหน่งที่สินทรัพย์อยู่ในแนวโน้มนี้ได้
- แนวโน้มแสดงถึงทิศทางทั่วไปของราคาสินทรัพย์ ซึ่ง Charles Dow ถือเป็นบิดาแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยกำหนดว่าตลาดมี 3 แนวโน้ม คือ ขึ้น ลง และไปด้านข้าง (หรือทรงตัว)
ข้อสังเกตแนวโน้ม
- แนวโน้มขาลง : เกิดขึ้นเมื่อราคาไปถึงจุดสูงและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ซึ่งแสดงถึงตลาดหมี (Bear Market)
- แนวโน้ม ด้านข้าง : เป็นค่าเริ่มต้นหากไม่มีแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง แนวโน้มรูปแบบนี้ มักเกิดขึ้นเมื่อผู้เข้าร่วมไม่แน่ใจ ซึ่งหมายความว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวไปด้านข้างภายในช่วงหรือการควบรวมกิจการด้านข้าง
- แนวโน้ม ขาขึ้น : เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ซึ่งแสดงถึงตลาดกระทิง (Bull Market)
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
- นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่า การศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงินในอดีต ทำให้สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้
- พื้นฐานของเทคนิคประวัติศาสตร์ซ้ำรอยคือ ผู้เข้าร่วมตลาดมีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันในอดีต ดังนั้นพวกเขาจึงมีแนวโน้มว่า ผู้ที่เข้าร่วมตลาดจะกระทำในลักษณะเดียวกันอีกครั้ง
- เมื่อพวกเขาตระหนักถึงรูปแบบราคาที่เทียบเคียงได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เทรดเดอร์ย่อมรู้ว่าพวกเขาควรซื้อ/ขายสินทรัพย์ โดยหวังว่าราคาจะพัฒนาในลักษณะเดียวกัน
- เนื่องจากผู้เข้าร่วมตลาดมีปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกัน จึงมีแง่มุมคำทำนายที่ตอบสนองตนเองในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
เส้นแนวโน้ม แนวรับ และแนวต้าน
การระบุแนวโน้มของราคาสินทรัพย์เป็นวัตถุประสงค์หลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค และเส้นแนวโน้มสามารถช่วยระบุพื้นที่ที่อาจเกิดการพลิกกลับของแนวโน้มได้
(รูปภาพ เส้นแนวโน้ม แนวรับ และแนวต้าน)
- เส้นแนวโน้มเชื่อมต่อจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หากราคาเป็นไปตาม แนวโน้มขาขึ้น – เส้นแนวโน้มแนวรับจะเริ่มต้นจากน้อยไปมาก
- เส้นแนวโน้มเชื่อมต่อจุดสูงที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ หากราคาเป็นไปตาม แนวโน้มขาลง – เส้นแนวโน้มแนวต้านจะเริ่มต้นจากมากไปน้อย
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานและทางเทคนิค จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร?
- การปรับปรุงความแม่นยำของการวิเคราะห์พื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคต้องใช้แนวทางที่ครอบคลุมมากขึ้น
- โดยการตรวจสอบให้แน่ใจว่า ข้อมูลที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์นั้นถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานหรือทางเทคนิค ข้อใดสำคัญกว่ากัน?
มีการถกเถียงระหว่างความสำคัญของการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคการตัดสินใจลงทุน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าทั้งสองแนวทางนำเสนอมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์และสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในบริบทที่ต่างกัน
จะว่าไปแล้ว ไม่มีแนวทางใดที่ดีไปกว่าแนวทางอื่นในระดับสากล แต่ละแนวทางล้วนมีข้อดีและข้อจำกัดของตัวเอง กลยุทธ์ที่ดีที่สุดจะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์พื้นฐานและทางเทคนิค ที่ปรับให้เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนและการยอมรับเพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงของผู้ใช้
สรุปท้ายบท
- ในการลงทุน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับผู้ที่อยู่ในตลาดฟอร์เร็กซ์
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นแนวทางระยะยาวมากกว่า โดยพื้นฐานแล้วจะช่วยอธิบายสาเหตุของการเคลื่อนไหวของราคาสกุลเงิน
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค ช่วยในการกำหนดจุดเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้นในระยะสั้น โดยพื้นฐานแล้วจะช่วยในเรื่องของกำหนดจุดเข้าออก
- แม้ว่าบางคนจะแย้งว่าคุณต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งและยึดถือวิธีนั้นต่อไป แต่แนวทางที่เราอยากแนะนำก็คือ การผสมผสานทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน และใช้ประโยชน์สูงสุดจากแต่ละวิธีในเวลาที่เหมาะสม
- นักลงทุนและเทรดเดอร์จำนวนมากเลือกใช้แนวทางแบบผสมผสาน โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของทั้งสองอย่าง
- การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่ควรซื้อ ในขณะที่การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะบอกคุณว่าควรซื้อหรือขายเมื่อใด
- ท้ายที่สุดแล้ว ตัวเลือกจะขึ้นอยู่กับรูปแบบการซื้อขาย ระยะเวลาการลงทุน และวัตถุประสงค์ทางการเงินของคุณ