ในตลาดฟอร์เร็กซ์ เทรดเดอร์ทุกคนจำเป็นพึ่งพาเครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลาย ในการตัดสินใจซื้อขายสกุลเงินแต่ละครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร เช่น เครื่องมือและเทคนิค ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้ วันนี้เราจะพาทุกท่านมารู้จักกัน เทคนิคของการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้นำไปปรับใช้กับการซื้อขายสกุลของคุณ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค Forex คืออะไร?
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคฟอเร็กซ์ คือการศึกษาการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของราคาสกุลเงินในอดีต เพื่อระบุรูปแบบ แนวโน้ม และพิจารณาความน่าจะเป็นของพฤติกรรมของตลาดในอนาคต
- โดยใช้การศึกษาทางเทคนิค ตัวชี้วัด และเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ เพื่อตัดสินใจซื้อขายโดยมีข้อมูลครบถ้วน
- แม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเกี่ยวข้องกับการซื้อขาย Forex แต่ก็ยังสามารถนำไปใช้กับสินทรัพย์ประเภทอื่นได้ด้วย รวมถึงหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์และพันธบัตร
ทำใมการวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงมีความสำคัญ?
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีความสำคัญเนื่องจาก ช่วยให้เทรดเดอร์ไม่เพียงแต่ตัดสินใจว่าจะเข้าสู่ตลาดเมื่อใดและที่ไหน แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อไหร่และที่ไหนที่จะออกจากตลาด
- การวิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีต จะช่วยให้ทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด และช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ ด้วยข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับการซื้อขายของพวกเขา
เทรดเดอร์ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคใน Forex หรือไม่?
- เห็นได้ชัดว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีบทบาทสำคัญในการซื้อขายฟอเร็กซ์ โดยเทรดเดอร์มืออาชีพจำนวนมากที่นำวิธีการเหล่านี้ไปใช้ในกลยุทธ์การซื้อขายของตัวเอง
- จากการศึกษาพบว่า เทรดเดอร์มืออาชีพประมาณ 80% พึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิค ในขณะที่ 20% ที่เหลือชอบเทคนิคทางเลือก เช่นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- สิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องจำไว้ว่า ไม่มีวิธีใดวิธีเดียวที่จะรับประกันความสำเร็จได้ และการผสมผสานวิธีการต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐาน อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่มีข้อมูลมากขึ้น
พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะต้องมีองค์ประกอบ 3 ประเภท ดังนี้คือ
ประเภทของเทรนด์ (Trend)
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
(รูปที่ 1 : แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend))
- แนวโน้มขาขึ้น เกิดขึ้นเมื่อตลาดทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าราคามีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
- เทรดเดอร์มองหาโอกาสในการซื้อในช่วงขาขึ้น เนื่องจากพวกเขาคาดหวังว่า ราคาจะสูงขึ้นต่อไป
- แนวโน้มขาขึ้นสามารถระบุได้โดยใช้เส้นแนวโน้ม ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือตัวบ่งชี้ทางเทคนิคอื่นๆ
แนวโน้มขาลง (Downtrend)
(รูปที่ 2 : แนวโน้มขาลง (Downtrend))
- แนวโน้มขาลง เกิดขึ้นเมื่อตลาดทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ซึ่งหมายความว่าราคามีแนวโน้มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
- เทรดเดอร์มองหาโอกาสในการขายในช่วงขาลง เนื่องจากพวกเขาคาดหวังว่า ราคาจะยังคงลดลงต่อไป
- แนวโน้มขาลง สามารถระบุได้โดยใช้เส้นแนวโน้ม ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ
แนวโน้มไซด์เวย์ (Sideways Trend)
(รูปที่ 3 : แนวโน้มไซด์เวย์ (Sideways Trend))
- แนวโน้มไซด์เวย์ เกิดขึ้นเมื่อตลาดมีการซื้อขายในช่วงที่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน
- ในช่วงแนวโน้มไซด์เวย์ เทรดเดอร์มองหาโอกาสในการซื้อต่ำและขายสูงภายในกรอบ
- แนวโน้มไซด์เวย์สามารถระบุได้โดยใช้ระดับแนวรับและแนวต้าน Bollinger Bands หรือตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ
ประเภทของกลยุทธ์ (Strategies)
Day Trading
(รูปที่ 4 : กลยุทธ์ Day Trading)
- Day Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่เกี่ยวข้องกับการเปิดและปิดการซื้อขายภายในวันเดียวกัน
- โดยทั่วไปแล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิค จะใช้เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่เป็นไปได้ และตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ สามารถใช้ในการตัดสินใจซื้อขายได้
- การซื้อขายรายวัน อาจมีความเครียดและมีความเสี่ยงสูง แต่ก็สามารถทำกำไรได้สูงเช่นกันหากดำเนินการอย่างถูกต้อง
Swing Trading
(รูปที่ 5 : กลยุทธ์ Swing Trading)
- Swing Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายระยะกลางที่การซื้อขายจัดขึ้นเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
- นักเทรดแบบสวิงยังใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น และอาจใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคหลายตัวในการตัดสินใจซื้อขาย
- แม้ว่าการซื้อขายแบบสวิง จะมีความเครียดน้อยกว่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการซื้อขายรายวัน แต่ก็ต้องใช้ความอดทนและมีวินัยในการถือการซื้อขายเป็นระยะเวลานาน
Scalping
(รูปที่ 6 : กลยุทธ์ Scalping)
- Scalping เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่มีความถี่สูง ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดและปิดการซื้อขายภายในไม่กี่วินาทีหรือนาที
- การ Scalping สามารถทำกำไรได้มาก แต่ต้องใช้การตอบสนองอย่างรวดเร็วและทักษะระดับสูงในการดำเนินการซื้อขายอย่างรวดเร็ว
Buy and Hold
(รูปที่ 7 : กลยุทธ์ Buy and Hold)
- Buy and Hold เป็นกลยุทธ์การซื้อขายระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินทรัพย์และถือครองไว้เป็นระยะเวลานาน
- การซื้อขายแบบซื้อและถือ อาจมีความเครียดน้อยกว่าและมีความเสี่ยงต่ำกว่ากลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้น แต่ต้องใช้มุมมองระยะยาวและความเต็มใจที่จะทนต่อความผันผวนของตลาด
Position Trading
- Position Trading เป็นกลยุทธ์การซื้อขายระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการดำรงตำแหน่งเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน
- Position Trading อาจมีความเครียดน้อยกว่าและความเสี่ยงต่ำกว่ากลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้น แต่ต้องใช้ความอดทนและมีวินัยในการดำรงตำแหน่งเป็นระยะเวลานาน
ประเภทของตัวชี้วัด (Indicators)
Leading Indicators
- Leading Indicators ใช้เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ได้รับการออกแบบมาเพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดขึ้น
- Leading Indicators ทั่วไปบางตัว ได้แก่ Relative Strength Index (RSI), Stochastic Oscillator และ Moving Average Convergence Divergence (MACD) สามารถใช้ Leading Indicators เพื่อระบุสภาวะการซื้อมากเกินไปหรือการขายมากเกินไป การกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมในตลาดได้
Lagging Indicators
- Lagging Indicators ใช้เพื่อยืนยันแนวโน้ม ได้รับการออกแบบมาเพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้นหลังจากที่เกิดขึ้น
- Lagging Indicators ทั่วไปบางตัว ได้แก่ moving averages, Bollinger Bands, และ Ichimoku Clouds สามารถใช้ Lagging Indicators เพื่อยืนยันทิศทางของแนวโน้ม ระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ หรือกำหนดความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้
ตัวชี้วัดยอดนิยม (Top indicators) ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
Moving Average Convergence Divergence (MACD)
(รูปที่ 8 : ตัวชี้วัด MACD Indicators)
- MACD เป็นตัวบ่งชี้ทางเทคนิคที่ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุแนวโน้มได้ ใช้ในการวัดความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียลสองค่า (ช่วง 26 และช่วง 12)
- จากนั้นเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โปเนนเชียล 9 ช่วง จะถูกพล็อตไว้บนเส้น MACD เพื่อสร้างเส้นสัญญาณ
- เทรดเดอร์ใช้ตัวบ่งชี้นี้ เพื่อพิจารณาการกลับตัวของแนวโน้มและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- หากเส้น MACD ตัดเหนือเส้นสัญญาณ ถือเป็นสัญญาณกระทิง ที่บ่งชี้ว่าราคาอาจสูงขึ้น
- ในทางกลับกัน หากเส้น MACD ตัดผ่านใต้เส้นสัญญาณ ถือเป็นสัญญาณขาลงที่บ่งบอกว่าราคาอาจลดลง
Relative Strength Index (RSI)
(รูปที่ 9 : ตัวชี้วัด RSI Indicators (สัญญาณการเข้าซื้อ))
- RSI เป็นตัวบ่งชี้โมเมนตัมที่วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม โดยการเปรียบเทียบขนาดของราคาที่เพิ่มขึ้นล่าสุดกับการขาดทุนของราคาล่าสุด
- คำนวณโดยใช้สูตรที่คำนึงถึงกำไรโดยเฉลี่ยและการสูญเสียโดยเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งโดยทั่วไปคือ 14 ช่วง
(รูปที่ 10 : ตัวชี้วัด RSI Indicators (สัญญาณการขาย))
- RSI ถูกพล็อตในระดับ 0 ถึง 100 โดยเงื่อนไขการซื้อมากเกินไปมักเกิดขึ้นเมื่อ RSI สูงกว่า 70 และเงื่อนไขการขายมากเกินไปเกิดขึ้นเมื่อ RSI ต่ำกว่า 30
- เทรดเดอร์ใช้ RSI เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของ แนวโน้ม.
Parabolic SAR
(รูปที่ 11 : ตัวชี้วัด Parabolic SAR Indicators)
- Parabolic SAR เป็นตัวบ่งชี้แนวโน้มที่ใช้เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น
- SAR ย่อมาจาก Stop and Reverse เนื่องจากตัวบ่งชี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ซื้อขายเข้าและออกจากการซื้อขายตามทิศทางของแนวโน้ม
- คำนวณโดยการพล็อตจุดบนแผนภูมิ โดยแต่ละจุดแสดงถึงจุดกลับตัวที่เป็นไปได้
- เมื่อราคาสูงขึ้น จุดต่างๆ จะถูกพล็อตไว้ต่ำกว่าราคา ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น เมื่อราคาลดลง จุดต่างๆ จะถูกพล็อตเหนือราคา ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง
Bollinger Bands
(รูปที่ 12 : ตัวชี้วัด Bollinger Bands Indicators)
- Bollinger Bands เป็นตัวบ่งชี้ความผันผวนที่ใช้เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นและเพื่อวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
- แถบประกอบด้วยสามเส้น
- ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (โดยทั่วไปคือ 20 ช่วง) แถบด้านบน (โดยทั่วไปจะมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 ค่าเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
- และแถบด้านล่าง (โดยทั่วไปจะมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 ค่าที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
- เมื่อราคามีการซื้อขายภายในแบนด์ จะถือว่าอยู่ในตลาดที่มีขอบเขต เมื่อราคาทะลุเหนือแถบบน มันเป็นสัญญาณกระทิง ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาอาจทรงตัวที่จะสูงขึ้น
- เมื่อราคาทะลุต่ำกว่าแถบล่าง ถือเป็นสัญญาณขาลง ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาอาจมีแนวโน้มลดลง
กลยุทธ์ Forex : รูปแบบกราฟ 3 อันดับที่สำคัญ
รูปแบบกราฟ เป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรูปแบบกราฟฟอร์เร็กซ์ที่สำคัญ 3 ชนิด ได้แก่
Head and Shoulders Pattern
(รูปที่ 13 : รูปแบบกราฟ Head and Shoulders)
- รูปแบบ Head and Shoulders เป็นกลยุทธ์การซื้อขายยอดนิยมที่ใช้ในการระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น
- รูปแบบนี้ประกอบด้วยยอดตรงกลาง (หัว) ขนาบข้างด้วยยอดล่าง 2 ยอด (ไหล่) ทำให้เกิดรูปร่างที่แตกต่างกันบนแผนภูมิ
จุดเริ่มต้น
- เทรดเดอร์ต้องมองหาจุดทะลุที่ต่ำกว่าเส้นคอ ซึ่งเป็นระดับแนวรับที่วาดโดยการเชื่อมต่อระดับต่ำระหว่างศีรษะและไหล่
- เทรดเดอร์อาจต้องรอการยืนยันเพิ่มเติม เช่น ปริมาณที่ลดลง ก่อนที่จะเข้าสู่สถานะขาย ถึงจะเริ่มวาดวาดจุดเริ่มต้น
จุดออก
- โดยทั่วไปเทรดเดอร์จะวัดระยะห่างระหว่างจุดสูงสุดของศีรษะและเส้นคอเสื้อ จากนั้นจะคาดการณ์ระยะนี้ลงจากเส้นคอช่วงอก เพื่อกำหนดเป้าหมายราคาสำหรับการออกจากการซื้อขาย
- เทรดเดอร์อาจใช้ระดับ Fibonacci retracement หรือตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อระบุระดับการทำกำไร ที่เป็นไปได้ และเพื่อกำหนดคำสั่งหยุดการขาดทุนเพื่อลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น
Flag Pattern Strategy
(รูปที่ 14 : รูปแบบกราฟ Flag)
- กลยุทธ์รูปแบบธง เป็นแนวทางการซื้อขายแบบไดนามิกที่ใช้ในการจับรูปแบบต่อเนื่องภายในแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่
- กลยุทธ์นี้อาศัยการก่อตัวของรูปแบบธง ซึ่งบ่งชี้ว่าแนวโน้มปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะกลับมาอีกครั้งหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาหยุดชั่วคราว
จุดเริ่มต้น
- เพื่อระบุจุดเริ่มต้นสำหรับกลยุทธ์รูปแบบธง เทรดเดอร์ควรสังเกตการทะลุรูปแบบธง
- ในกรณีของธงกระทิง เทรดเดอร์อาจเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาทะลุเหนือขอบเขตด้านบนของรูปแบบธง ซึ่งส่งสัญญาณถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มขาขึ้น
- อีกทางหนึ่ง เทรดเดอร์อาจรอการยืนยันเพิ่มเติม เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะเข้าสู่การซื้อขาย
จุดเริ่มต้น
- เพื่อสร้างจุดออกสำหรับกลยุทธ์นี้ เทรดเดอร์ควรเริ่มต้นด้วยการวัดความยาวของเสาธง ซึ่งแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาเริ่มต้นก่อนระยะการรวมบัญชี
- จากนั้นเทรดเดอร์จะสามารถคาดการณ์ความยาวนี้จากจุดฝ่าวงล้อมของการก่อตัวของธง เพื่อกำหนดเป้าหมายราคาและจุดออกที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขาย
Cup and Handle Pattern
(รูปที่ 15 : รูปแบบกราฟ Cup and Handle)
- รูปแบบ Cup and Handle เป็นรูปแบบกระทิงต่อเนื่องที่รู้จักกันดีซึ่งผู้ค้าใช้เพื่อระบุโอกาสในการซื้อ
- โดยทั่วไปรูปแบบนี้บ่งชี้ว่า แนวโน้มขาขึ้นในปัจจุบันของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป
จุดเริ่มต้น
- เพื่อระบุจุดเริ่มต้นในรูปแบบ Cup and Handle เทรดเดอร์ควรมองหาการทะลุเหนือเส้นแนวโน้มด้านบนของที่จับ
- เทรดเดอร์สามารถวางคำสั่งหยุดเหนือเส้นแนวโน้มเล็กน้อย หรือรอให้ราคาปิดเหนือเส้นแนวโน้มก่อนที่จะวางคำสั่ง limit order ต่ำกว่าระดับการทะลุเล็กน้อย
- เทรดเดอร์อาจมองหาการยืนยันเพิ่มเติม เช่น ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น หรือการครอสโอเวอร์แบบกระทิงในตัวชี้วัดทางเทคนิค เช่น Moving Average Convergence Divergence (MACD) หรือ Relative Strength Index (RSI)
จุดออก
- เพื่อสร้างจุดออกสำหรับรูปแบบนี้ เทรดเดอร์ควรวัดระยะห่างระหว่างด้านล่างของถ้วยกับระดับการทะลุของรูปแบบ
- จากนั้นจึงคาดการณ์ระยะนี้ขึ้นไปจากการทะลุทะลุ ตัวอย่างเช่น หากระยะทางคือ 20 จุด เทรดเดอร์อาจตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 20 จุดเหนือที่จับ
กลยุทธ์ Forex : รูปแบบแท่งเทียน 3 อันดับที่สำคัญ
- รูปแบบแท่งเทียน เป็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคประเภทหนึ่งที่เทรดเดอร์ใช้เพื่อประเมินแนวโน้มของตลาดที่อาจเกิดขึ้นและทำการตัดสินใจซื้อขายอย่างมีข้อมูล
- แท่งเทียนแต่ละอันแสดงถึงราคาเปิด ปิด ราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด
- รูปแบบแท่งเทียนที่แตกต่างกัน สามารถบ่งบอกถึงแนวโน้มการกลับตัวหรือรูปแบบต่อเนื่องที่อาจเกิดขึ้น ช่วยให้เทรดเดอร์ได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
Bullish Engulfing
(รูปที่ 16 : แท่งเทียน Bullish Engulfing)
- รูปแบบ Bullish Engulfing เกิดขึ้นเมื่อเทียนสีแดงเล็กๆ ตามด้วยเทียนสีเขียวขนาดใหญ่ที่ปกคลุมเทียนของวันก่อนหน้าอย่างสมบูรณ์
- รูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่าแรงกดดันในการซื้อมีมากกว่าแรงกดดันในการขาย ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในความเชื่อมั่นของตลาดซึ่งอาจส่งผลให้ราคาเคลื่อนไหวสูงขึ้น
Morning Star
(รูปที่ 17 : แท่งเทียน Morning Star)
- รูปแบบ Morning Star ประกอบด้วยแท่งเทียนสามแท่ง
- เทียนสีแดงยาว เทียนขนาดเล็ก (สีแดงหรือสีเขียว) ที่มีช่องว่างต่ำกว่า และเทียนสีเขียวยาวที่ปิดภายในช่วงของเทียนแรก
- รูปแบบนี้บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มขาลงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากแท่งเทียนขนาดเล็กสะท้อนถึงความไม่แน่ใจของตลาด ตามด้วยแท่งเทียนสีเขียวที่แข็งแกร่งซึ่งบ่งบอกถึงการพลิกกลับแบบกระทิง
Doji
(รูปที่ 18 : แท่งเทียน Doji)
- รูปแบบแท่งเทียน Doji เกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดและราคาปิดของหลักทรัพย์เกือบจะเท่ากัน ส่งผลให้มีขนาดเล็กหรือไม่มีเลยและอาจมีเงายาว
- รูปแบบนี้แสดงถึงความไม่แน่ใจของตลาด และอาจบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มหรือการดำเนินต่อไป ขึ้นอยู่กับบริบทของแท่งเทียนก่อนหน้าและแนวโน้มของตลาดโดยรวม
สรุปท้ายบท
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นวิธีการประเมินหลักทรัพย์โดยการวิเคราะห์สถิติที่เกิดจากกิจกรรมทางการตลาดในอดีตที่ผ่านมา
- ความแม่นยำของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราการชนะในอดีตของกลยุทธ์ และอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (risk-reward (RR))
- นอกเหนือจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้ว การซื้อขายที่ประสบความสำเร็จยังต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี มีวินัย และการควบคุมอารมณ์ด้วย
- ไม่มีสูตรลับหรือเทคนิคที่รับประกันความสำเร็จในการซื้อขาย การความเข้าใจในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการบริหารความเสี่ยงและระเบียบวินัยที่ดี รวมถึงการควบความเสี่ยงและการควบคุมอารมณ์ จึงจะสามารถทำให้เทรดเดอร์ทำกำไรจากการซื้อขายฟอร์เร็กซ์ได้